วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

Week 16

บันทึกอนุทิน
Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
ครั้งที่ 16 เวลาเรียน 12.20-15.50 น
 
ขั้นนำ : อาจารย์เฉลยข้อสอบ
กิจกรรม : ดิ่งพสุธา
กิจกรรมนี้สามารถสื่อความหมายถึงการปลอดปล่อยพลังงานทางร่างกายของมนุษย์
เนื้อหาที่เรียน 
ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
1.1 เป้าหมาย :เป็นการช่วยให้เด็กแต่ละคนเกิดการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กรู้สึกมั่นใจว่าเขาทำได้  ให้รู้สึกดีต่อตนเอง อีกทั้งยังพัฒนาความกระตือรือร้นของเด็กอีกด้วย
1.2 ช่วงความสนใจ : เพื่อให้เด็กจดจ่อต่อกิจกรรมที่ทำโดยช่วงความสนใจของเด็ก

  • นักศึกษาในระดับปริญญาตรีมีช่วงความสนใจในการเรียนรู้ประมาณ 2 ชม.
  • เด็กอนุบาลมีช่วงความสนใจในการเรียนประมาณ 10-15 นาที
  • เด็กพิเศษมีช่วงความสนใจประมาณ 3-5นาที
1.3 การเลียนแบบ : โดยเด็กจะเลียนแบบจากบุคคลใกล้ๆตัว เช่น เพื่อน ครู ผู้ปกครอง เป็นต้น โดยเฉพาะเด็กพิเศษจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีคือ การเลียนแบบ
1.4 การทำตามคำสั่งคำแนะนำ : ในบางครั้งเด็กอาจจะไม่เข้าใจคำสั่งของครู หรือคำสั่งอาจจะยากเกินไป ดังนั้ครูควรใช้คำศัพท์ที่ง่ายๆ กระชับ เข้าใจง่าย
1.5 การรับรู้และการเคลื่อนไหว : โดยปกติมนุษย์เราจะมีการรับรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยการได้ยิ่น เห็น สัมผัส ลิ้มรส และการดมกลิ่น และจะส่งผลให้เกิดการตอบสนองอย่างเหมาะสม แต่เด็กพิเศษจะมีประสาทสัมผัสที่ล่าช้าในบางครั้งจึงส่งผลให้เด็กเกิดการตอบสนองที่ล่าช้าตามมา
1.6 การควบคุมกล้ามเนื้อ เช่น การกรอกน้ำ ต่อบล็อก การช่วยเหลือตนเองในกิจกรรมต่างๆ
การเลือกกรรไกรที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย ควรเป็นกรรไกรที่ขนาดเหมาะสมดังภาพที่ 1 จับง่ายสบายมือ
ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ

          แบบรูป เด็กจะเริ่มปฏิบัติกิจกรรมนี้ได้ต้องอยู่ในช่วงอายุ 4 ขวบหากเป็นเด็กพิเศษจะยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการที่จะให้น้องวางต้องให้น้องเริ่มด้วยการรู้จักวางทีละคนต่อๆกันไปเลื่อยๆ เพื่อเป็นการฝึกน้อง หากเด็กหยิบไม่ได้ครูควรเป็นผู้ชี้นำน้องในการหยิบรูปทรง เช่น วงกลมสีฟ้าๆ อันนี้ใช่ไหมค่ะ อันนี้ใช่ไหม เป็นต้น

1.7 ความจำ  ในเรื่องของความจำครูสามารถสอบถามจากสิ่งที่เด็กเคยผ่านมา หรือการสอบถามประสบการณ์เดิมของเด็ก เช่น เมื่อเช้าหนูทานอะไรมาค่ะ แกงจืดที่เราทานตอนเที่ยงมีอะไรบ้าง
1.8 ทักษะทางคณะศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 
       การส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัยนั้นครูหรือผู้เกี่ยวข้องควรทราบว่ามีทักษะจำเป็นอะไรบ้างที่เด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ของเด็กต่อไป ทักษะที่เด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนานั้นอาจแบ่งเป็น ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และทักษะพื้นฐานการคิดคำนวณ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยมี 7 ทักษะ ได้แก่
1. ทักษะการสังเกต(Observation)
คือการใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ โดยเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์อย่างมีจุประสงค์ เช่น การจะหาข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไป
2. ทักษะการจำแนกประเภท(Classifying)
คือ ความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของ โดยหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น ส่วนใหญ่เด็กจะใช้เกณฑ์ในการจำแนกอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม ซึ่งแล้วแต่เด็กจะเลือกใช้(ดังนั้นครุควรถามเมื่อจัดกิจกรรมทั้งนี้เพื่อให้ประเมินเด็กได้อย่างถูกต้อง) ซึ่งเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เกณฑ์ 2 อย่าง คือ ความเหมือน และความต่าง เมื่อเด็กสามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้วเด็กจึงจะจำแนกโดยใช้ความสัมพันธ์ร่วมได้
3. ทักษะการเปรียบเทียบ(Comparing)
คือ การที่เด็กต้องอาศัยความสัมพันธ์ของวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์ ตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป บนพื้นฐานของคุณสมบัติที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง เช่น เด็กสามารถบอกได้ว่าลูกบอลลูกหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าลูกอีกลูกหนึ่ง นั่นแสดงให้เห็นว่า เด็กเห็นความสัมพันธ์ของลูกบอล คือ เล็ก - ใหญ่ ความสำคัญในการเปรียบเทียบ คือ เด็กจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น ๆ และรู้จักคำศัพท์คณิตศาสตร์ การเปรียบเทียบนับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเรียนในเรื่องการวัดและการจัดลำดับ
4. ทักษะการจัดลำดับ(Ordering)
คือ การส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการจัดลำดับวัตถุสิ่งของหรือเหตุการณ์ ซึ่งเป็นทักษะการเปรียบขั้นสูง เพราะจะต้องอาศัยการเปรียบเทียบสิ่งของมากกว่าสองสิ่งหรือสองกลุ่ม การจัดลำดับในครั้งแรก ๆ ของเด็กปฐมวัยจะเป็นไปในลักษณะการจัดกระทำกับสิ่งของสองสิ่ง เมื่อเกิดการพัฒนาจนเกิความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วเด็กจึงจะสามารถจัดลำดับที่ยากยิ่งขึ้นได้
5. ทักษะการวัด(Measurement)
เมื่อเด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดประเภท การเปรียบเทียบ และการจัดลำดับมาแล้ว เด็กจะพัฒนาความสามารถเข้าสู่เรื่องการวัดได้ ความสามารถในการวัดของเด็ก จะมีความสัมพันธ์กับความสามารถใสนการอนุรักษ์(ความคงที่) เช่น เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความยาวของเชือกได้ว่า เชือกจะมีความยาวเท่าเดิมถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งก็ตาม
6. ทักษะการนับ(Counting)
แนวคิดเกี่ยวกับการนับจำนวน ได้แก่ การนับปากเปล่า บอกขนาดของกลุ่มที่มีขนาดเท่ากันโดยไม่ต้องนับ นับโดยใช้ลำดับที่นับจำนวนเพิ่มขึ้น นับเพื่อรู้จำนวนที่มีอยู่ การจดตัวเลข การนับและเข้าใจความหมายของจำนวน การใช้สัญลักษณ์แทนจำนวน ในเด็กปฐมวัยชอบการนับแบบท่องจำโดยไม่เข้าใจความหมาย การนับแบบท่องจำนี้จะมีความหมายต่อเมื่อเชื่อมโยงกับจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การนับจำนวนเพื่อนในห้องเรียน นับขนมที่อยู่ในมือ แต่การนับของเด็กอาจสับสนได้หากมีการจัดเรียงสิ่งของเสียใหม่ เมื่อเด็กเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์(จำนวน)แล้วเด็กปฐมวัยจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องการนับจำนวนอย่างมีความหมาย
7. ทักษะเกี่ยวกับเรื่องรูปทรงและขนาด(Sharp and Size)
เรื่องขนาดและรูปทรงจะเกิดขึ้นกับเด็กโดยง่าย ทั้งนี้เนื่องจากเด็กคุ้นเคยจากการเล่น การจับต้องสิ่งของ ของเล่น หรือวัตถุรูปทรงต่าง ๆ อยู่เสมอในแต่ละวัน เราจึงมักจะได้ยินเด็กพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรูปทรงหรือขนาดอยู่เสมอ ครูสามารถทดสอบว่าเด็กรู้จักรูปทรงหรือไม่ได้โดยการให้เด็กหยิบ/เลือก สิ่งของตามคำบอก เมื่อเด็กรูปจักรูปทรงพื้นฐานแล้วครูสามารถสอนให้เด็กรู้จักรูปทรงที่ยากขึ้นได้
ทักษะพื้นฐานในการคิดคำนวณ สำหรับเด็กปฐมวัยอาจแบ่งได้ 3 ทักษะ
1. ทักษะในการจัดหมู่
2. ทักษะในการรวมหมู่(การเพิ่ม)
3. ทักษะในการแยกหมู่(การลด)
จากภาพนี้ เราสามารถสอนในเรื่องมิติสัมพันธ์ คือ สอนให้เด็กรู้จักข้างใน ข้างนอก ด้านบน ด้านล่าง ความสูง-ต่ำ 
1.9 การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ : เน้นสำคัญในเรื่องการสั่งงานหรือให้งานเด็กแต่ละคนต้องบอกให้ชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน พูดในทางที่ดี และควรจัดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวจะส่งผลให้เด็กเกิดความสนุกสนานในการเรียน
การประยุกต์ใช้ :จากกิจกรรมและเนื้อหาในวันนี้ทำให้เข้าใจถึงบริบทและพฤติกรรมของเด็กพิเศษมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้เมื่อไปเจอเด็กพิเศษจริงๆจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้
การประเมินผล :
  • ตนเอง : ในการมาเรียนวันนี้มีการมานั่งเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน และช่วยเพื่อนทุกคนจัดชั้นเรียนเพื่อเตรียมก่อนที่จะทำการเรียนการสอน แต่บรรยายกาศในวันนี้รู้สึกร้อนและหงุดหงิดเป็นอย่างมากเนื่องจากสถานที่ไม่ค่อยเอื้อต่อการเรียนรู้สักเท่าไร แต่การเรียนในวันนี้ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากอาจารย์มีกิจกรรมสนุกๆมาให้นักศึกษาได้เล่นจนลืมความร้อนในต้นคาบไปเลย
  • เพื่อน : เพื่อนๆทุกคนให้ความสนใจในการเรียนแต่อยู่ในระดับปานกลางอาจเนื่องมาจากบรรยายกาศร้อนเกินไป แต่ทุกคนก็ต้องใจเรียนแม้ในบางช่วงอาจไม่ค่อยมีสติและสมาธิสั้นไปบ้าง
  • อาจารย์ : อาจารย์แต่งกายสุภาพ เดินมาสอนด้วยความเหนื่อยเหงื่อเต็มตัว แต่อาจารย์ก็มีความตั้งใจที่จะสอนนักศึกษาโดยมีเทคนิคการสอนคือ ในขั้นนำมีการเฉลยข้อสอบและขั้นด้วยกิจกรรม จากนั้นต่อด้วยเนื้อหาใน Powerpoint การเรียนการสอนในวันนี้สอนอย่างรวดเร็วเข้าใจชัดเจน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น